บทที่ 7 ความทรงจำสีหม่น (170%)
“โอ๋…โอ๋…ไม่เอา ไม่ร้องนะครับ”
คนที่ไม่เคยปลอบใครตัดสินใจดึงร่างสั่นเทาเพราะแรงสะอื้นเข้ามากอดไว้ด้วยท่าทางเงอะๆ งะๆ ก่อนจะขยับปากหยักพึมพำปลอบประโลม พร้อมลูบแผ่นหลังสะท้านอย่างแผ่วเบา สัมผัสอบอุ่นเจืออ่อนโยนทำให้คนที่กำลังร้องไห้ถอนสะอื้น เริ่มสงบสติอารมณ์ได้บ้าง ก่อนจะขืนกายออกจากอ้อมกอดของคนที่คิดว่าน่าจะอายุน้อยกว่าแต่ตัวสูงกว่าเธอ แล้วเงยหน้ามองอีกฝ่ายอย่างอายๆ
“เอ่อ…ขอบใจนายมากนะ”
“สำหรับพี่สาวแล้วยินดีมากครับ” หนุ่มหล่อมาดนิ่งล้วงกระเป๋าด้วยท่าทางสบายๆ พลางยิ้มจนตาหยี และรอยยิ้มจริงใจนั้นก็ทำให้คิริมาอดที่จะยิ้มตอบไม่ได้
“งั้นฉันไปนะ”
“บ๊ายบายครับ”
คนหน้านิ่งยังคงส่งยิ้มให้ผู้ที่ตนรู้สึกถูกชะตาตั้งแต่แรกเห็น ขณะโบกมือให้อีกฝ่าย ทว่าเมื่อเหลือบไปเห็นเลือดตรงขาเรียวซึ่งเลยขอบกระโปรงยาวเขาก็หลุดอุทานออกมา
“โอ๊ะ! อย่าเพิ่งไปครับ ขาพี่สาวมีเลือดออกนี่นา”
“ไม่เป็นไรหรอก แผลแค่นี้เอง”
“ไม่ได้ครับ เกิดติดเชื้อขึ้นมาจะทำยังไง มานี่ครับ…มานั่งตรงนี้ก่อน เดี๋ยวเมศทำแผลให้” ปรเมศไม่ยอมให้อีกฝ่ายจากไปง่ายๆ ถือวิสาสะจูงมือเรียวมานั่งลงตรงม้านั่งใต้ร่มไม้ที่อยู่ไม่ไกล
จากนั้นเขาก็ปลดกระเป๋าสะพายหลังลงมาวางข้างๆ ร่างบางของคนที่ยื่นมือไปแตะแผลตัวเองแล้วสะดุ้งน้อยๆ ก่อนจะเอาขวดน้ำเปล่าออกมา แล้วลงไปนั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าเธอ จัดการล้างแผลให้ ทุกคราที่คิริมาสะดุ้งและสูดปากด้วยความแสบเสียงห้าวทุ้มก็จะคอยเอ่ยปลอบประโลม ก่อนที่เขาจะเป่าให้เบาๆ ท่ามกลางความอึ้งของคนที่ไม่เคยถูกใครดูแลเอาใจใส่ยกเว้นมารดาผู้ล่วงลับ แล้วเขาก็หยิบพลาสเตอร์ลายเสือมาแปะให้เธออย่างเบามือ
“เสร็จแล้ว กลับถึงบ้านพี่สาวอย่าลืมล้างแผลและทายาด้วยนะครับ” เขาเอ่ยบอกอย่างนุ่มนวล เก็บขวดน้ำใส่กระเป๋า แล้วลุกขึ้นมานั่งลงข้างๆ เธอ
“ขอบใจนายมากนะ วันนี้ช่วยฉันหลายครั้งเลย”
“ยินดีครับผม” เขายิ้มจนตาหยี ครั้นเห็นอีกฝ่ายกำลังตั้งท่าจะลุกขึ้นก็คว้าหมับเข้าที่ท่อนแขนเรียวเป็นเชิงรั้งเอาไว้ แล้วเอ่ยแนะนำตัวเสียดื้อๆ
“ผมชื่อปรเมศนะครับ หรือเรียกว่าเมศเฉยๆ ก็ได้ พี่สาวชื่ออะไร”
“พี่ชื่อครีม” คิริมายังคงประหยัดคำพูด แต่ท่าทางเกร็งๆ เช่นตอนที่พบกันในช่วงนาทีแรกๆ เริ่มมลายหายไป น่าแปลกที่เธอไม่รู้สึกเก้อกระดากเท่าที่ควร
“งั้นเมศขอเรียกพี่ครีมได้ไหมครับ” คำของ่ายๆ สั้นๆ แต่กลับทำให้คนถูกขอรู้สึกอบอุ่นเหมือนไม่ได้เหลืออยู่ตัวคนเดียว ก่อนที่เธอจะพยักหน้าน้อยๆ
“ได้สิ”
“พี่ครีมมาทำบุญที่นี่บ่อยเหรอครับ เห็นหลวงพ่อท่านว่าพี่ชอบมาวัดเป็นประจำ” ปรเมศชวนคุยด้วยยังไม่อยากให้อีกฝ่ายจากไป ทั้งที่จริงๆ เขาพอจะรู้เรื่องของคิริมาจากปากท่านเจ้าอาวาสบ้างแล้ว ท่านเปรยให้มารดาของเขาฟังด้วยความเวทนาคนที่ขาดทั้งพ่อและแม่อย่างคิริมา
“อืม…”
“งั้นเมศจะมาวัดกับแม่บ่อยๆ จะได้เจอพี่ครีม” คนอิดออดทุกครั้งที่มารดาชวนมาทำบุญเอ่ยอย่างยิ้มๆ เริ่มจะเปลี่ยนความคิดเพียงเพราะอยากมาเจอหน้าอีกฝ่าย
“เมศ! เมศอยู่แถวนี้หรือเปล่าลูก!” ยังไม่ทันที่จะได้ชวนคิริมาคุยไปมากกว่านั้นเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นเสียก่อน คาดว่าเพราะตรงที่เขากับเธอนั่งอยู่มีพุ่มไม้บังแม่จึงไม่เห็น
“ไอ้ตัวเล็กได้ยินไหมตอบแม่ที!”
คำว่า ‘ไอ้ตัวเล็ก’ ที่ฟังดูหน่อมเเน้มลูกคุณหนูซึ่งมารดาชอบเรียกขานแทนชื่อ ทำให้ปรเมศยิ้มแหยๆ พร้อมลูบท้ายทอยแก้เก้อ จากนั้นก็ค้นกระเป๋าตัวเอง แล้วหยิบปากกาออกมา
“พี่ครีมเมศขอมือหน่อย” วาจาที่หลุดออกมาจากปากหนุ่มสุดป็อปทำให้คิริมามองหน้าหล่อๆ อย่างงงๆ จนเขาต้องคลี่ยิ้มบางๆ แล้วเอ่ยเป็นเชิงรบเร้า
“นะครับ…แบมือให้เมศหน่อย”
ที่สุดคิริมาก็ทนน้ำเสียงออดอ้อนกับแววตาเว้าวอนไม่ไหว ยื่นมือออกไปหาคนที่เฝ้ารออยู่อย่างเก้ๆ กังๆ แล้วแบออก ทันใดนั้นก็ต้องสะดุ้งเฮือกในวินาทีที่ปรเมศจรดปลายปากกาลงบนฝ่ามือน้อย ครั้นก้มลงมองก็ปรากฏว่ามันคือตัวเลขจำนวนสิบหลัก ดูแล้วน่าจะเป็นเบอร์โทรศัพท์
“นี่เบอร์เมศนะ มีอะไรก็โทรหาเมศได้” เขาบอกด้วยรอยยิ้มขณะหยิบกระเป๋ามาสะพาย แล้วก็ต้องสะดุ้งเฮือก ทำหน้าเซ็งนิดๆ เมื่อได้ยินมารดาตะโกนเรียกหาด้วยสรรพนามที่โคตรไม่ปลื้มอีกครา
“ไอ้ตัวเล็กอยู่แถวนี้หรือเปล่าลูก!”
“เมศไปก่อนนะ หวังว่าเราจะได้เจอกันอีกนะครับ ถ้ามีเรื่องไม่สบายใจ อยากระบาย หรืออยากร้องไห้อกของน้องชายคนนี้พร้อมให้พี่สาวซบเสมอ แต่อย่าร้องไห้คนเดียวนะครับ”
ปรเมศถือวิสาสะกุมมือคิริมา แล้วเอ่ยบอกเสียยืดยาว ก่อนจะโผเข้ากอดร่างบางของคนที่นึกอยากได้เป็นพี่สาว แล้วผละห่าง ตบท้ายด้วยการโบกมือไหวๆ เป็นเชิงอำลา จากนั้นก็วิ่งจากไปพร้อมตะโกนขานรับเสียงเรียกของมารดา ท่ามกลางสายตาที่มองตามไปอย่างยิ้มๆ วันหยุดของสัปดาห์นี้ไม่น่าหดหู่เท่าไร เพราะอย่างน้อยเด็กผู้ชายนามว่าปรเมศคนนั้นก็ทำให้เธอยิ้มได้หลังจากที่เพิ่งเจอเรื่องแย่ๆ มา
